Credit: TripZilla
February 2020

โตเกียว เมืองใหญ่ที่ได้ชื่อว่ามีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในโลก เป็นส่วนผสมอันลงตัวระหว่างเมืองแห่งการค้าอันทันสมัยกับประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบสานกันมาตั้งแต่โบราณ แสงสีและกลุ่มคนหนาแน่นอาจจะทำให้นักเดินทางที่มาเยือนโตเกียวครั้งแรกจะตื่นตาตื่นใจ

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักท่องเมืองโตเกียวผู้ช่ำชอง หรือเพิ่งมาเยือนเมืองนี้เป็นครั้งแรก มาลองอ่านแผนการท่องเที่ยวโตเกียว 4 วันของเราดู



วันที่ 1: 
ชมวิวน่าตื่นตาและเรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเบื้องต้น


เครดิตรูปภาพ: Rs1421


1. ชมวิวสวยสะกดสายตาจากชั้นบนสุดของอาคารสำนักงานบริหารมหานครโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building)

อาคารสูง 243 เมตรนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน แต่ละส่วนคอยจะมีดาดฟ้าชมวิวเป็นของตัวเองอยู่บนชั้น 45 ที่ขึ้นชื่อเรื่องวิวแบบพาโนรามา โดยสามารถมองเห็นแลนด์มาร์กสำคัญ ๆ ของกรุงโตเกียวได้ ทั้ง Tokyo Skytree, โตเกียวทาวเวอร์, ภูเขาไฟฟูจิ และศาลเจ้าเมจิ ที่ดีที่สุดคืออะไรรู้ไหม เข้าฟรียังไงล่ะ

 

*เคล็ดลับ: หอชมวิวทิศใต้เปิดตั้งแต่เวลา 9.30 - 17.30 น. ส่วนหอชมวิวทิศเหนือเปิดตั้งแต่  9.30 - 23.00 น. หากคุณอยากไปเที่ยวแถว ๆ นั้นหลังจากชมวิวเสร็จตอนกลางคืน แนะนำให้มาที่หอชมวิวทิศเหนือในภายหลัง เพื่อจะได้ชมวิวของกรุงโตเกียวท่ามกลางแสงไฟ

2. เดินเล่นบริเวณเมจิจิงกู (ศาลเจ้าเมจิ)

ศาลเจ้าเมจิเป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ดวงวิญญาณของจักรพรรดิเมจิ (จักรพรรดิพระองค์แรกของญี่ปุ่นยุคใหม่) และพระมเหสี (จักรพรรดินีโชเกน)

ชินโต (“วิถีแห่งเทพเจ้า”) เป็นความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณและยังคงเป็นหนึ่งในศาสนาหลักของญี่ปุ่นควบคู่กับพุทธศาสนา ผู้มาเยือนจะสามารถทำกิจกรรมทั่วไปของศาสนาชินโตได้ เช่น การถวายของสักการะในห้องโถงหลักของศาลเจ้า ซื้อเครื่องราง และเขียนความปรารถนาของตัวเองลงบนเอมะ (แผ่นไม้เล็ก ๆ ที่จะต้องแขวนไว้ที่ศาลเจ้าเพื่อขอพรให้โชคดี)

กล่าวกันว่า จักรพรรดิเมจิเป็นผู้ออกแบบสวนดอกไอริสเองเพื่อเป็นของขวัญให้แก่พระจักรพรรดินี โดยดอกไอริสเหล่านี้จะบานในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี ซึ่งในตอนนั้นสวนแห่งนี้จะสวยงามที่สุด

 

*เคล็ดลับ: หากคุณมาแต่เช้าและยังมีเวลาเหลือ แนะนำให้เดินไปย่านฮาราจุกุที่อยู่ใกล้ ๆ กับศาลเจ้าเมจิ ทาเคะชิตะโดริ (ถนนทาเคะชิตะ) เป็นสัญลักษณ์ของฮาราจุกุและเป็นต้นกำเนิดของเทรนด์แฟชั่นในญี่ปุ่นหลายอย่าง ตลอดระยะทาง 400 เมตร คุณจะเห็นร้านค้า คาเฟ่ ร้านบูติก และร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดตั้งเรียงราย แนะนำให้ลองไปเยือนร้านเครปที่โด่งดังที่สุดบนถนนทาเคะชิตะ Marion Crepes ส่วนรสชาติที่ต้องลองให้ได้คือรสสตรอเบอร์รี

3. จิบค็อกเทลเก๋ ๆ บนชั้นดาดฟ้า

แฟนภาพยนตร์เรื่อง Lost in Translation อาจจะเคยมาตามรอยภาพยนตร์เรื่องนี้กันที่ New York Bar ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นที่ 52 ของ Park Hyatt Tokyo นอกจากวิวน่าตื่นตาตื่นใจของกรุงโตเกียวแล้ว New York Bar ยังเป็นบาร์ค็อกเทลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียวอีกด้วย

 

*เคล็ดลับ: เดินทางมาที่นี่หลังพระอาทิตย์ตกดิน แล้วออกมาก่อน 2 ทุ่ม เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียค่าชมวิวราคาแพง และจ่ายเฉพาะค่าเครื่องดื่มเท่านั้น



วันที่ 2: 
สัมผัสความทันสมัยของกรุงโตเกียว: ท่องชิบุย่า

 


1. ชมทางม้าลายที่ย่านชิบุย่า

ทางม้าลายที่ชิบุย่าเป็นทางม้าลายข้ามถนนที่พลุกพล่านที่สุดในโลกและจะทำให้คุณตื่นตาและตื่นใจได้พอ ๆ กัน ที่ทางแยกตรงนี้ ทันทีที่ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง ไฟจราจรดวงอื่น ๆ ในทุกทิศทางก็เปลี่ยนสีพร้อมกันด้วย ทำให้การจราจรบนท้องถนนหยุดนิ่งลง จากนั้นคนเดินข้ามถนนจะหลั่งไหลมาจากทุกทิศทาง กลายเป็นภาพอันยุ่งเหยิง ทว่าเป็นระเบียบ สะท้อนเอกลักษณ์ของเมืองหลวงของญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี

2. สัมผัสภาพและเสียงของชิบุย่า

หากคุณชอบช้อปปิ้ง คุณสามารถใช้เวลาทั้งวันได้ในย่านนี้และอาจจะเพลิดเพลินจนบ่นว่าเวลาไม่พอ เนื่องจากในย่านชิบุย่ามีร้านค้าจำนวนมาก เราจึงได้คัดเลือกร้านค้าน่าสนใจมา 3 ร้าน ซึ่งเราคิดว่าคุณไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด

ร้านแรกที่แนะนำคือร้าน Shibuya 109 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแลนด์มาร์กของย่านนี้มาตลอดหลายปี กลุ่มเป้าหมายของร้านคือผู้หญิง ดังนั้น ถ้าคุณเป็นผู้ชายและอยากจะซื้อของจริง ๆ ให้ไปร้าน 109 Men ที่อยู่ใกล้ ๆ กันแทน

จากนั้น เดินทางไปเยือน Tokyu Hands ที่เป็นอาคาร 8 ชั้น ถ้าคุณเป็นคนที่รักศิลปะและงานฝีมือแล้วละก็ ที่นี่จะทำให้คุณตกหลุมรักทันที Tokyu Hands เป็นร้านขายของ DIY ครบครันทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ของใช้สำหรับการเดินทาง ไปจนถึงเครื่องมือทำสวน เครื่องเขียน เครื่องสำอาง อุปกรณ์ตกแต่งภายใน อุปกรณ์เครื่องใช้ในการสร้างงานศิลปะ คุณไม่มีทางรู้เลยว่าจะเจออะไรบ้างในร้านนี้ ถ้าคุณไม่ต้องการซื้ออะไรจากร้านนี้กลับไปเป็นของที่ระลึกเลย คุณต้องควบคุมตัวเองอย่างมากทีเดียว

ถ้าคุณชอบดนตรี คุณต้องไม่พลาด Tower Records อย่างเด็ดขาด Tower Records ในชิบุย่าถือเป็นร้านแฟลกชิปสโตร์ในบรรดาร้านสาขาทั้ง 83 แห่งของ Tower Records (และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ) ปัจจุบันที่นี่มีทั้งหมด 8 ชั้น สินค้าที่ขายมีตั้งแต่ซีดี หนังสือ และสินค้าของศิลปินต่าง ๆ  

 

*เคล็ดลับ: กินขนมหรือจิบกาแฟในคาเฟ่ Tower Records บนชั้นสอง นั่งเล่นริมหน้าต่างชมวิวสวย ๆ ของถนนสายต่าง ๆ ในย่านชิบุย่า

3. เล่นปาจิงโกะ

ปาจิงโกะเป็นตู้เกมสไตล์ญี่ปุ่นที่คุณสามารถเข้าไปเล่นได้ในร้านปาจิงโกะทั่วญี่ปุ่น ทุกปี ชาวญี่ปุ่นใช้จ่ายเงิน 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปกับการเล่นเกมนี้ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพกันชัด ๆ ก็คือมูลค่าของอุตสาหกรรมนี้ในญี่ปุ่นสูงกว่า GDP ของนิวซีแลนด์ถึง 2 เท่า

คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงชอบเล่นปาจิงโกะกันนัก

ลองเข้าไปหาคำตอบร้านปาจิงโกะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในย่านชิบุย่าอย่าง Pachinko Maruhan ดูสิ เราไม่อยากสปอยคุณมาก แต่บอกเลยว่ามันเป็นเกมง่าย ๆ คล้าย ๆ กับเกมพินบอลเลย



วันที่ 3:
เมื่อความเก่ามาบรรจบกับความทันสมัย: ชาวประมงญี่ปุ่นตัวจริง วัดอายุ 700 ปี และร้านค้าต่าง ๆ

 

 

1. ตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วมาชมการประมูลปลาทูน่าที่ตลาดปลาทสึคิจิ

ตลาดปลาทสึคิจิคือตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดและคึกคักที่สุดในญี่ปุ่น สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของตลาดนี้ก็คือการประมูลปลาทูน่า ซึ่งจะจัดขึ้นก่อนพระทิตย์ขึ้นเกือบทุกเช้า ก่อนคุณจะเดินทางไปที่นั่น แนะนำให้เข้าไปที่เว็บไซต์เพื่อตรวจสอบว่าตลาดเปิดให้ประชาชนเข้าชมการประมูลปลาทูน่าวันไหนบ้าง

คุณสามารถเข้าชมการประมูลได้ฟรี แต่จำกัดเพียง 120 คนเท่านั้น แบ่งเป็นสองทัวร์ ทัวร์ละ 60 คน ดังนั้นใครมาก่อนได้ก่อน

การลงทะเบียนจะเริ่มตั้งแต่ตี 5 แต่คนจะเริ่มมาต่อคิวกันตอนตี 2 เป็นต้นไป ดังนั้นแนะนำให้มาก่อนตี 3 เพื่อจะได้เป็นหนึ่งใน 120 คนที่โชคดีได้เข้าไปชมตลาดปลา เจ้าหน้าที่จะแจกเสื้อกั๊กสีสันสดใสให้คุณสวมเพื่อแสดงว่าคุณเป็นแขก ซึ่งถ้ายังมีเหลือ คุณก็จะได้มาสวมหนึ่งตัว แต่ถ้าหมด คุณก็อด

ถ้าไม่ได้ไปกินอาหารเช้าเป็นซูชิเต็ม ๆ คำ ก็เหมือนกับมาไม่ถึงตลาดปลาทสึคิจิ (คุณให้รางวัลตัวเองที่อดตาหลับขับตานอนตั้งแต่เที่ยงคืนนะ)

 

*เคล็ดลับ: เนื่องจากไม่มีรถสาธารณะให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในโตเกียว ดังนั้นคุณจะต้องพักค้างคืนใกล้ ๆ กับตลาดทสึคิจิ แนะนำให้นอนพักสักสามชั่วโมงที่ Com Com Manga Café ที่อยู่ใกล้ ๆ (เดินมาแค่ 10 นาที ก็จะถึงบริเวณประมูลปลาทูน่า) แต่ถ้าคุณไม่อยากนอน ก็สามารถเข้าไปใช้บริการร้านสาขาหลักของ Sushizanmai ที่อยู่ข้าง ๆ ตลาด ซึ่งเปิดตลอด 24 ชั่วโมงได้เช่นกัน

*เคล็ดลับ: สวมเสื้อผ้าและรองเท้าให้เหมาะสม เพราชุดอาจจะเปื้อนและมีกลิ่นได้ ที่สำคัญ เตรียมกระโดดหลีกทางให้รถบรรทุกและรถเข็นด้วย และอย่าลืมสวมเสื้อคลุม เพราะบริเวณประมูลปลานั้นหนาวมาก เนื่องจากปลาทูน่าจะถูกแช่แข็งมา และควรพกหนังสือหรือนิตยสารสักเล่มไปอ่านระหว่างรอการประมูลด้วย เพราะคุณอาจจะไม่มีอะไรทำเลยระหว่างรอ

*เคล็ดลับ: แนะนำให้ไปที่ร้าน Sushi Dai  (คำว่า Dai หมายถึงหมายเลขหนึ่งในภาษาญี่ปุ่น) แต่เตรียมต่อคิวยาว ๆ ได้เลย (ปกติคือสามชั่วโมง) แต่ถ้าเดินเลยไปอีกหน่อยบนถนนเส้นเดียวกันกับร้าน Sushi Dai ก็จะเป็นที่ตั้งของร้าน Daiwa-Zushi ซึ่งอร่อยพอ ๆ เรื่องน่ารู้: Daiwa-Zushi เป็นร้านของลูกชายเจ้าของร้าน Sushi Dai พ่อลูกคู่นี้จะหาปลาด้วยกัน และมักจะแข่งกันว่าใครจะจับปลาและทำซูชิได้อร่อยที่สุดในทสึคิจิ

2. เดินสำรวจย่านอาซาคุสะ ใจกลางถนนชิตะมาจิ (แปลว่า “เมืองด้านล่าง”) ของกรุงโตเกียว

ย่านอาซาคุสะเดินสำรวจง่ายมาก และได้รับการชื่นชมว่ายังมีบรรยากาศของโตเกียวในยุคเก่าอยู่ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในย่านอาซาคุสะคือวัดเซนโซจิ ซึ่งเป็นวัดพุทธที่มีอายุถึง 700 ปี และกล่าวกันว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว

นอกจากนี้แล้ว คุณยังสามารถไปตื่นตาตื่นใจกับศาลเจ้าอาซาคุสะและคามินาริมอน (ประตูคามินาริ) ที่นำทางคุณไปยังวัดวัดเซนโซจิได้อีกด้วย

จากนั้น เดินและหาของอร่อยรับประทานบนถนนนากะมิเซะ ซึ่งเป็นถนนสายช้อปปิ้งความยาว 200 เมตร เริ่มจากคามินาริมอนไปจนถึงประตูแห่งที่สองของวัดเซนโซจิหรือที่เรียกว่าโฮโซมอน แนะนำให้หาซื้อสินค้าดั้งเดิมของญี่ปุ่น เช่น ตะเกียบญี่ปุ่น รองเท้าเกี๊ยะ หวีไม้ และมาเนกิโนโกะ (เครื่องรางนำโชคแมวกวักของญี่ปุ่น) เป็นของที่ระลึก

 

*เคล็ดลับ: คุณเขียนโปสการ์ดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ซื้อโปสการ์ดภาพสถานที่สวย ๆ ของอาซาคุสะในสมัยเอโดะ (ยุคประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นระหว่างปี 1603 - 1868) แล้วส่งกลับไปหาคนที่คุณรัก



วันที่ 4:
ผ่อนคลายอย่างชาวญี่ปุ่น: ในโรงละครโบราณและน้ำพุร้อน


เครดิตรูปภาพ: Sergey Vladimirov

 
1. ชมคาบุกิ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับ UNESCO

คาบุกิเป็นการแสดงโบราณรูปแบบหนึ่งของญี่ปุ่นและมีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ การแสดงชนิดนี้ต้องใช้ทักษะฝีมือชั้นสูง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสวยงามประณีต และการแต่งหน้าโดดเด่นสะดุดตา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของคาบุกิคือการแสดงท่วงท่าเกินจริงของนักแสดง

พล็อตส่วนใหญ่ของละครคาบุกิจะพูดถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งทางศีลธรม เรื่องราวความรัก โศกนาฏกรรม และเรื่องเล่าอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียง แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ฟังภาษาแบบเก่าที่ใช้ในการแสดงคาบุกิไม่ค่อยออก แต่สำหรับชาวต่างชาติอย่างเรา ๆ สามารถเช่าหูฟังเพื่อฟังคำบรรยายและคำอธิบายภาษาอังกฤษได้ด้วย

โรงละคร Kabukiza Theater เป็นหนึ่งในโรงละครคาบุกิที่ดีที่สุด และมีการจัดแสดงเกือบทุกวัน ดูรายละเอียดการแสดงได้ที่เว็บไซต์ นี้

 

*เคล็ดลับ: การแสดงคาบุกิแบบเต็มรูปแบบแต่ละครั้งกินเวลานานประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งอาจจะดูยากเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากละครคาบุกิประกอบด้วยหลายองก์ คุณสามารถซื้อตั๋วชมเฉพาะองก์ใดองก์หนึ่งก็ได้ (แต่ละองก์จะกินเวลา 45-60 นาที) เพื่อจะได้ลองสัมผัสประสบการณ์การชมละครประเภทนี้ ราคาค่าตั๋วจะอยู่ราว ๆ 2,000 เยน

2. ผ่อนคลายที่บ่อออนเซ็นในญี่ปุ่น – Oedo Onsen Monogatari

มาถึงดินแดนที่มีภูเขาไฟคุกรุ่นมากที่สุดในโลกทั้งที ก็ควรปิดทริปนี้ให้สมบูรณ์ด้วยการเดินทางไปแช่ออนเซน (น้ำพุร้อน) ในกรุงโตเกียว

Oedo Onsen Monogatari คือหนึ่งในออนเซ็นที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบมากทีสุดในกรุงโตเกียว ที่นี่ไม่เพียงเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติเท่านั้น แต่ภายในยังตกแต่งบรรยากาศให้ลูกค้าได้สัมผัสเมืองในสมัยเอโดะด้วย โดยมีกิจกรรมความบันเทิงมากมาย ตั้งแต่การดูดวง เกมคาร์นิวัล ร้านขายอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง ไปจนถึงที่พักค้างคืน

แต่ว่าอย่าลืมเป้าหมายหลักในครั้งนี้เด็ดขาด เพราะคุณจะมาแช่ออนเซ็น ที่นี่มีบ่อออนเซ็นให้เลือกหลายขนาดและหลายอุณหภูมิ คุณจะเลือกบ่อกลางแจ้งหรือบ่อในร่มก็ได้ หรือจะแช่ในบ่อแบบมีกระแสน้ำวนสำหรับนวดตัวก็ได้ น้ำพุร้อนของที่นี่อุดมไปด้วยโซเดียมไอออน และต่อท่อมาจากน้ำพุใต้ดินลึกลงไป 1,400 เมตร เชื่อกันว่าบ่อน้ำร้อนของที่นี่ช่วยผ่อนคลายระบบประสาท กล้ามเนื้อ และอาการปวดข้อได้ดีทีเดียว

 

*เคล็ดลับ: ห้ามคนที่รอยสักเข้า ราคาค่าเข้าจะอยู่ราว ๆ 2,500 เยน ลองใช้บริการสปาเท้ากับ “ปลาคุณหมอ” ซึ่งจะมีปลาตัวเล็ก ๆ มากัดกินผิวหนังที่ตายแล้วของคุณออกไป.


นี่คือแผนท่องเที่ยวตลอด 4 วันในโตเกียวที่แนะนำสถานที่เที่ยวและกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับคุณ! โตเกียวมีสิ่งที่น่าสนใจเยอะมาก ดังนั้นอาจจะมีบางอย่างที่เราไม่ได้กล่าวถึงแผนท่องเที่ยวทั้ง 4 วันนี้ หากคุณมีเวลาเหลืออีกสักสองสามวัน ก็สามารถลองไปชม Shinjuku Gyoen National Garden (หนึ่งในพื้นที่สีเขียวที่สวยงามที่สุดในโตเกียว) และย่านอะกิฮาบาระ (ที่ได้ชื่อว่าเป็นย่านขายของอิเล็กทรอนิกส์และแหล่งรวมวัฒนธรรมโอตาคุของญี่ปุ่น) ได้

อย่าลืมว่าที่เป็นแค่แนวทางเท่านั้น คุณสามารถปรับเปลี่ยนแผนท่องเที่ยวได้อย่างอิสระ ตัดสิ่งที่คุณไม่สนใจทิ้งไป แล้วแทนที่ด้วยสิ่งที่คุณชอบ อย่าลืมเปิดใจให้กว้างยอมรับสิ่งใหม่ ๆ และประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่คุณไม่คุ้นเคย เพียงเท่านี้ การเดินทางไปเที่ยวกรุงโตเกียวครั้งต่อไปของคุณก็อาจจะกลายเป็นทริปที่ให้ประสบการณ์ดี ๆ และน่าจดจำมากที่สุดก็ได้


คุณอาจสนใจ

     SHARE
บ้าน ไฮไลท์ แบบทดสอบการเดินทาง ปลายทาง แรงบันดาลใจในการเดินทาง ข้อเสนอ จองตอนนี้ วางแผน เกี่ยวกับ
Select country :
Language :